คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

วันครู

วันครู
ความหมาย
    ครู  หมายถึงผู้อบรมสั่งสอน  ผู้ถ่ายทอดความรู้  ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา  และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่
ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ
ประวัติความเป็นมา
   วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่  16  มกราคม  พ.ศ. 2500  สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูใน
ราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า"คุรุสภา" ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคล
และให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา  โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็น
ในเรื่องนโยบายการศึกษา  และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ  จัดสวสัดิการให้แก่ครูและครอบครัว
ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร  ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู
    ด้วยเหตุนี้ในทุกๆปี  คุรุสภาจึงจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี  เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศ
แถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา  พร้อมทั้งซักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆเกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภา โดยมี
คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย  สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุม"สามัคคยาจารย์"
หอประชุมของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย  ในระยะหลังจึงมาใช้หอประชุมของคุรุสภา
    ปี พ.ศ. 2499  ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี  จอมพล ป.  พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการ
อำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์  ได้กล่าวปราศัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า "ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจาก
ผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย  ข้าพเจ้าคิดว่า"วันครู"ควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดา
ลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย  เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไป
ถ้าถึงวันตรุษ  วันสงกรานต์  เราก็นำอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ  ทำทาน  คนที่สองรองลงไปก็คือ
ครูผู้เสียสละทั้งหลาย  ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย  ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ
ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"
    จากแนวความคิดนี้  กอรปกับคว่ทคอดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆที่ล้วนเรียกร้องให้มี"วันครู"
เพื่อให้เป็นการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ  ประกอบคุณงามความดีเพื่แประโยชน์ของชาติ
และประชาชนเป็นอันมาก  ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มี
"วันครู" เพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป  โดยได้เสนอในหลักการว่า  เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณ
บูรพาจารย์  ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครู  และเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอีนดีระหว่างครูกับประชาชน
     ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่  21  พฤศจิกายน  2499  ให้วันที่  16  มกราคม  ของทุกปีเป็น"วันครู"
โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่  16  มกราคม  พ.ศ. 2488 เป็นวันครู
และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้
     การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่  16  มกราคม  2500  ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติ
เป็นที่จัดงาน  งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้ให้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ
หนังสือประวัติครู  หนังสือที่ระลึกวันครู  และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ
     การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา  ในปัจจุบัน
ได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม  3  ประเภทใหญ่ดังนี้
     1.กิจกรรมทางศาสนา
     2.พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์  ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน  การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
     3.กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู  สา่วนมากจะเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริง

     ปัจจุบันการจัดงานวันครู  ได้กำหนดให้จัดพร้อมกันทั่วประเทศ  สำหรับส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภา  โดยมี
คณะกรรมการจัดงานวันครูซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน  ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด
สำหรับส่วนภูมิภาคให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ  โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกันกับส่วนกลาง
จะรวมกันจัดที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้
     รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง(หอประชุมคุรุสภา)  พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ประธานอำนวยการคุรุสภา  คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา  คณะกรรมการจัดงานวันครู  พร้อมด้วยครูอาจารย์
และประชาชนร่วมกันทำบุญตักบาตรพระสงฆ์  จำนวน 1,000  รูป  หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธี
ในหอประชุมคุรุสภา  นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน  ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์  นายกรัฐมนตรี
จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย  ประธานฝ่ายสงฆ์ให้ศีล  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงาน
ต่อนายกรัฐมนตรี  เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครู"อาวุโส"นอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึก
ถึงพระคุณบูรพาจารย์  ดังนี้
                 ปาเจราจริยา  โหนติ  คุณุตตรานุสาสกา
(วสันตดิลกฉันท์) ประพันธ์ โดยพระวรเวทย์พิสิฐ(วรเวทย์   ศิวะศรียานนท์)

                    ข้าขอประนมกรกระพุ่ม
อภิวาทนาการ
          กราบคุณอดุลคุรุประทาน
หิตเทิดทวีสรร
                   สิ่งสมอุดมคติประพฤติ
นรยึดประคองธรรม์
          ครูชี้วิถีทุษอนันต์
อนุสาสน์ประภาษสอน
                   ให้เรืองและเปรื่องปริวิชาน
นะตระการสถาพร
          ท่านแจ้งแสดงนิติบวร
ดนุยลอุบลสาร
                    โอบเอื้อและเจือคุณวิจิตร
ทะนุศิษย์นิรันดร์กาล
          ไป่เบื่อก็เพื่อดรุณชาญ
ลุฉลาดประสาทสรรพ์
                    บาปบุญก็สุนทรแถลง
ธุระแจงประจักษ์แจ้งครัน
          เพื่อศิษย์สฤษดิ์คติจรัล
มนเทิดผดุงธรรม
                    ปวงข้าประดานิกรศิษย์
(ษ)ยะคิดระลึกคำ
          ด้วยสัตย์สะพัดกมลนำ
อนุสรณ์เผดียงคุณ
                    โปรดอวยสุพิธพรเอนก
อดิเรกเพราะแรงบุญ
          ส่งเสริมเฉลิมพหุลสุน
ทรศิษย์เสมอเทอญ ฯ

                   ปัญญาวุฒิกเรเตเต  ทินโนวาเท  นมามิหัง
          จากนั้นประธานจัดงานวันครู จะเชิญผู้ร่วมประชุมยืนสงบนิ่ง  1  นาที  เพื่อระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว
  ครูอาวุโสประจำการนำผู้เข้าร่วมประชุมกล่าวคำปฏิญาณดังนี้
               ข้อ 1.ข้าฯจะบำเพ็ญตนให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู
               ข้อ 2.ข้าฯจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ
               ข้อ 3.ข้าฯจะรักษาชื่อเสียงของคณะครูและบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
          จบแล้วพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา  นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลครูดีเด่นประจำปี  มอบของที่ระลึกให้ครูอาวุโสนอกและใน
ประจำการสุดท้ายกล่าวคำปราศัยและให้โอวาทแก่ครูที่มาประชุม
       จรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู
 
            1.เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ
             2.ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ  ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น
             3.ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่  อุทิศเวลาของตนให้แก่ศิษย์  จะละทิ้งหรือทอดทิ้ง
                หน้าที่การงานไม่ได้
             4.รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใดๆอันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู
             5.ถือปฏิบัติตามกฎระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา  และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
                ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา
             6.ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง  ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริต
                 หรือเป็นภัยต่อมนุษย์ชาติ
             7.ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการโดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน  และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำ
                 ผลงานของผู้อื่นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน
             8.ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต  และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรม  ไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง
                 หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
             9.สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์  รักษาความลับของศิษย์  ของผู้ร่วมงานและสถานศึกษา
           10.รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหน้าที่การงาน

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันลอยกระทง

                                                     วันลอยกระทง
                                              1   ประวัติวันลอยกระทง
        การลอยกระทงในเมืองไทย มีมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย เรียกว่า การลอยพระประทีป หรือ ลอยโคม
เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนมเอกของ
พระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม การลอยกระทงหรือลอยโคม
ในสมัยนางนพมาศ กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำ
สายหนึ่งอยู่ในแค้วนทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่า แม่น้ำเนรพุททา
                                               
                                            2  ลอยกระทงแบบสร้างสรรค์
         2.1     ใช้ใบตองจากธรรมชาติทำกระทงแทนการใช้โฟมทำกระทง
         2.2     กระทงควรเป็นกระทงขนมปัง
         2.3     ใช้ดอกไม้สดที่มีสีสันสวยงาม
         2.4     ใช้ไฟเย็นตกแต่งกระทง

                                             3  สิ่งที่ทำในวันลอยกระทง
           3.1  ทำกระทง
                  ไปงานวัด
                  ลอยกระทงกับพ่อแม่
           3.2  ไปงานลอยกระทงที่ตลาด
                  ไปเที่ยวกับครอบครัว
                   ไปเต้นรำวง
           3.3   ไปลอยกระทง
                   ไปงานวัด
                    ไปดูประกวดนางงามนพมาศ
           3.4    ไปลอยกระทง
                    ไปเต้นรำวง
                    ไปเที่ยวกับเพื่อน
           3.5     ทำบุญ
                     ไปเต้นรำวงที่งานวัด
                     ไปลอยกระทง
                                                                 
                   

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โครงงานคอมพิวเตอร์

โครงงานคอมพิวเตอร์


โครงงาน หมายถึง กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้าทดลองและลงมือปฏิบัติด้วยตนเองตามความสามารถ ความถนัดและความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือกระบวนการใด ๆ ที่สามารถนำมาใช้ศึกษาหาคำตอบในเรื่องนั้นๆ โดยมีครูผู้สอนคอยให้คำปรึกษาแนะนำแก่นักเรียนอย่างใกล้ชิด

ประเภทขงโครงงาน

1. โครงงานประเภทสำรวจ เป็นโครงงานประเภทเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อสาเหตุของปัญหาหรือสำรวจความคิดเห็น

2. โครงงานประเภททดลอง เป็นโครงงานประเภทออกแบบทดลอง เพื่อศึกษาผลการทดลองว่าเป็นไปตามที่ตั้งสมมติฐานไว้หรือไม่

3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็นโครงงานที่ประยุกต์หักการทางวิทยาศาสตร์เข้าสู่กระบวนการปฏิบัติ โดยอาศัยเครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ เพื่อประดิษฐ์ชิ้นงาน

4. โครงงานประเภททฤษฎี เป็นโครงงานที่มีลักษณะเป็นการหาความรู้ใหม่ โดยการรวบรวมข้อมูลและนำมาวิเคราะห์จากสถิติแล้วอภิปาย

ลักษณะสำคัญของโครงงาน

1.เป็นเรื่องที่นักเรียนสนใจ ต้องการหาคำตอบ

2.เป็นการเรียนรู้ที่มีกระบวนการ มีระบบ

3.เป็นการบูรณาการการเรียนรู้

4.นักเรียนได้ใช้ความสามารถและทักษะในหลายๆด้าน

5.มีความสอดคล้องกับชีวิตจริง

6.มีการศึกษาด้วยวิธีการและแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย

7.เป็นการแสวงหาความรู้และสรุปความรู้ด้วยตนเอง

8.มีการนำเสนอโครงงานที่เหมาะสม

9.สิ่งที่ค้นพบสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้

กิจกรรมที่จัดว่าเป็นโครงาน  ควรมีองค์ประกอบหลักดังนี้

1.เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับซอบต์แวร์และเครื่องคอมพิวเตอร์

2.นักเรียนเป็นผู้ริเริ่มและเลือกเรื่องที่จะศึกษาค้นคว้าและพัฒนา

3.เก็บรวบรวมหรือประดิษฐ์คิดค้นคว้าด้วยตนเองตามความสนใจและระดับความรู้ความสามารถ


4.นักเรียนเป็นผู้วางแผนในการศึกษา สรุปและนำเสนอผลงานการศึกษาด้วยตนเอง โดยมีครูผู้สอนเป็นครูผู้สอนเป็นครูที่ปรึกษา

แนวทางกาเขียนโครงงาน

1.ชื่อโครงงาน(ระบุโครงงานที่ชัดเจน กระทัดรด เฉพาะเจาะจงว่าจะทำอะไร ศึกษาอะไร)

2.ชื่อผู้ทำโครงงาน(ระบุชื่อ-นามสกุลนักเรียน ระดับชั้น โรงเรียน ของผู้จัดทำโครงงาน)

3.ชื่อครูที่ปรึกษา (ระบุชื่อครูที่ปรึกษา คำแนะนำในการทำโครงงาน)

4.บทคัดย่อ (บอกเค้าโครงของโครงงานอย่างย่อๆ ซึ่งประกอบด้วย เรื่อง/วัตถุประสงค์/วิธีการศึกษา

และการสรุปผล)

5.กิตติกรรมประกาศ (ระบุคำกล่าวแสดงความขอบคุณบุคคล หรือหน่วยงานที่ได้ให้ความช่วยเหลือจนงานสำเร็จ)

6.ที่มาและความสำคัญของโครงงาน (เขียนอธิบายว่าโครงงานนี้มีสาเหตุมาจากอะไร ดี อย่างไร ทำไมจึงต้องทำ มีหลักทฤษฎีอะไรสนับสนุน ขยายเพิ่มเติมปรับปรุงมาจากเรื่องอะไร

7.สมมติฐานของการศึกษา (เป็นการคาดคะเนคำตอบไว้ล่วงหน้า)

8.วิธีดำเนินการ (ระบุระยะเวลาดำเนินงาน ขั้นตอนการปฏิบัติ ผู้รับผิดชอบ หรืออธิบายการเริ่มงาน การจัดการข้อมูล การจัดรูปแบบ การเก็บข้อมูล ขั้นตอนการดำเนินงาน เป็นอย่างไร)

9.สรุปผลการศึกษา(ระบุความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับ ความแปลกใหม่ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ผลงานที่ตรงตามจุดมุ่งหมาย ผลการศึกษาค้นคว้าที่ได้รับ)

10.อภิปายผล/ประโยชน์/ข้อเสนอแนะ(ระบุถึงผลที่ได้รับ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ และระบุข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการทำโครงงาน)

11.เอกสารอ้างอิง(ระบุหนังสือ เอกสารที่ใช้ในการประกอบการศึกษาค้นคว้า รวมทั้งระบุชื่อบุคคลที่ให้ข้อมูลในการศึกษาค้นคว้า)